เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีอนาคต และมีความคิดเป็นของตัวเอง

ยุคนี้เป็นยุคแห่งการเรียนรู้ใช่ไหมละครับ เรามาว่ากันถึงเด็กยัคเจนใหม่ เราจะให้เค้าก้าวไปเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราตั้งเป้าไว้ หรือจะให้เค้าโตด้วยความคิดของเค้าเองดีละ? แน่นอนถ้ามีความคิดเป็นของตัวเองก็ต้องมีอนาคตควบคู่กันไปด้วยใช่ไหมละ ไม่อย่างนั้นแย่แน่นอน ถ้าเกิดมีความคิดเป็นของตัวเองอย่างเดียว แต่ดันดูไม่มีอนาคต พ่อแม่ละจะหวังพึ่งอะไรได้จากลูกๆของเราหละ

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าการที่ลูกโตมาแบบนไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของท่านด้วย เอาไส่ใจเด็กมากแค่ไหน หรือปล่อยให้ทำทุกอย่างตามใจ อย่างนี้แย่แน่นอนอนาคตจะเป็นเด็กที่ก้างร้าว ไม่สนใจคำสั่งและระเบียบของพ่อแม่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเรียนในอนาคตเด็กอาจจะเกเรไม่เข้าเรียน ปัญหาสังคมนักเรียนช่างยกพวกตีกันแน่นอนใช่ไหมละ เรามาเริ่มตั้งแต่ช่วงเด็กกันเลยดีกว่า ช่วงอายุ 1-8 ปี ต้องเอาใจไส่ให้มากๆ โดยส่วนใหญ่เด็กจะดูแบบที่พ่อแม่ทำ แล้วจะนำไปทำตาม นั่นคือการเรียนรู้ ถ้าหากพ่อแม่สอนอะไรที่ผิดๆไปแน่นอนเด็กก็ทำแบบที่ไม่ถูกต้อง เราจะปล่อยปะละเลยไม่ได้ แต่อย่าให้อยู่ในกรอบมากเกินไป เพราะจะทำให้เด็กนั้นเก็บกดขึ้นมา ทำผิดก็ว่าไปตามผิดหรือกฏระเบียบของบ้าน มีการผ่อนโทษได้นั่นเอง จึงเกิดการเรียนรู้ที่ดีในวัยเด็ก มาว่ากันต่อในวัย 12-18ปี นับเป็นช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อมากๆเลยหละ ไม่ว่าท่านจะคิดว่าบุตรหลานของท่านโตแล้ว แต่วัยนี้เป็นช่วงที่เด็กจะพลิกผันได้เลย เพราะเพื่อน และสังคมรอบข้างของเด็ก เช่นถ้ารอบข้างเด็กเป็นเกเร เด็กหลังห้องแน่นอน ช่วงม.3 อาจได้ไปต่อสายช่างแน่นอน หรือถ้าคบเด็กเรียน อันนี้อนาคตไกลแน่นอน ทางที่ดีควรไส่ใจฝากฝั่งถึงครูอาจารย์ที่โรงเรียนให้ดีเลยหละ ไม่อย่างนั้น เด็กจะมีความคิดของตัวเอง จนลืมอนาคตของตัวเองไงละครับ อีกอย่างที่สำคัญคืออย่าให้เด็กไปของสิ่งเสพติดใดๆ ลองสำรวจกระเป๋าต่างๆถ้าหากเจอต้องทำการทำโทษหรือตักเตือนว่าทำไม เพราะอะไรรีบหาโรงเรียนใหม่เพราะสังคมที่เด็กอยู่นั้นคุณภาพต่ำ

จากที่กล่าวไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ทำให้บัตรหลานของท่านมีอนาคตที่ดี ไม่ออกนอกลู่ นอกทางเป็นดั่งใจหวังไว้ 😉